การดื่มไวน์แดงในปริมาณพอดีและสม่ำเสมอนั้น มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก ไวน์แดงยังเป็นเครื่องดื่มแทนน้ำที่มีการฆ่าเชื้อ (Anticeptic) แล้วด้วย ณ ระดับแอลกอฮอล์ 8-9 ดีกรียังเป็นตัวกระตุ้นทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า สดชื่น อารมณ์สุนทรี ร่าเริง โดยเฉพาะคนสูงอายุที่เป็นโรคประจำตัว เป็นโรคเบื่ออาหาร ไวน์จะเป็นตัวช่วยย่อยอาหารที่ดี และช่วยบำบัดความรุนแรงของโรคเบาหวาน (Diabetes) โรคมะเร็ง (Cancer) โลหิตจาง (Anaemia) และโรคหัวใจ (Heart Trouble) และช่วยบำบัด โรคความดันโลหิตต่ำอีกด้วย
สำหรับประโยชน์ของไวน์แดงทีมีต่อการลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจวาย โรคหัวใจล้มเหลวนั้น คือไวน์แดงมีส่วนทำให้ความเหนียวข้นของไขมัน คอเลสเตอรอล หรือ Lp (a) ที่มีอยู่ในเกร็ดเลือดลดระดับลง โดยเกร็ดเลือดจะใสขึ้น และไม่จับตัวอุดตันตามผนังภายในของหลอดเลือด ส่งผลให้กระแสเลือดไหลเวียนได้เป็นอย่างดี และยังทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานเบาลงอีกด้วย
การที่ชาวฝรั่งเศสดื่มไวน์แดงในปริมาณที่พอเหมาะ 1 – 3 แก้วอย่างสม่ำเสมอทุกวัน โดยปฏิบัติกันเป็นนิสัยนั้นทำให้อัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคหัวใจล้มเหลวของเขาลดลงถึง 50 % แม้พวกเค้าจะบริโภคอาหารชนิดมีไขมันสูงอยู่บ่อย ๆก็ตาม ซึ่งถือว่าชาวผรั่งเศสมีอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวายที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหมือนกัน
สาร 2 ชนิดที่มีอยู่ในไวน์แดงและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือ
1. Resveratrol หรือ Transresveratrol
2. Tannin
สารทั้ง 2 นั้นมีอยู่ในเปลือก เม็ดและก้านองุ่น โดยไวน์แดงมีระดับ Resveratrol สูงกว่าไวน์ขาว เนื่องจากไวน์ขาวนำเฉพาะน้ำมาหมักโดยไม่มีเปลือก เมล็ดและกิ่ง-ก้านเหมือนไวน์แดง
การที่องุ่นที่เรารับประทานโดยทั่วไปนั้นมักปลูกในที่มีแดดมากเกินไปจึงทำให้ Resveratrol ปริมาณน้อยหรือแทบไม่มีเลย โดยแม้จะพบบ้างว่าองุ่นบางพันธุ์มี Resveratrol อยู่บ้างแต่ต้องรับประทานเป็นจำนวนมากจึงจะได้ประโยชน์เท่ากับการดื่มไวน์ 1 แก้ว ที่สำคัญคือองุ่นมีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 20 % จึงเท่ากับเป็นการเพิ่มแคลอรีให้ร่างกายโดยไม่จำเป็น และเป็นที่น่าสังเกตุว่าไวน์ราคาแพงกลับพบว่ามี Resveratrol ต่ำสาเหตุเนื่องจากไวน์เหล่านั้นถูกหมักในถังโอ๊ก ซึ่งกระบวนการผลิตเป็นตัวการในการลดปริมาณของ Resveratrol นั่นเอง